บทความ

การใช้เทคโนโลยี AI ลดต้นทุนการดำเนินงาน: ธุรกิจแบบไหนลดได้เร็วที่สุด และปัจจัยที่ทำให้ เกิด ROI ได้เร็วขึ้น

ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจเข้มข้น การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นหัวใจสำคัญขององค์กรทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดใหญ่หรือ SMEs หลายบริษัทเริ่มหันมาใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความผิดพลาด และลดต้นทุนการดำเนินงานอย่างเห็นผล จากรายงานของ Gartner ระบุว่า องค์กรที่นำ AI ด้าน Automation มาใช้ สามารถลดต้นทุนเฉลี่ยได้สูงถึง 25% ภายในเวลาเพียง 1 ปี บทความนี้จะพาคุณสำรวจว่า ธุรกิจแบบใดได้ผลลัพธ์เร็วที่สุด และปัจจัยใดช่วยให้คืนทุนไวที่สุด

ทำความเข้าใจพื้นฐาน: AI ช่วยลดต้นทุนอย่างไร?

AI ไม่ได้จำกัดแค่การสร้างหุ่นยนต์หรือระบบอัตโนมัติที่ซับซ้อนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการใช้ Machine Learning, Natural Language Processing (NLP) และ Generative AI เช่น ChatGPT เพื่อช่วยในกระบวนการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานบริการลูกค้า การตลาด การจัดการข้อมูล หรือแม้แต่การบริหารภายในองค์กร โดยการใช้ AI จะช่วยลด "ต้นทุนแฝง" เช่น เวลาแรงงาน ความผิดพลาดจากมนุษย์ หรือค่าดำเนินการที่ซ้ำซ้อน

ประเภทของธุรกิจที่ลดต้นทุนได้เร็วที่สุด

จากการเก็บข้อมูลของ Gartner และกรณีศึกษาจากหลายอุตสาหกรรม พบว่า ธุรกิจที่เห็นผลเร็วที่สุดเมื่อใช้ AI ได้แก่:

1. ธุรกิจที่มีงานซ้ำซากจำนวนมาก

เช่น งานแอดมิน งานตอบแชท หรืองานสร้างรายงาน ซึ่งสามารถใช้ AI อย่าง ChatGPT ช่วยร่างอีเมล รายงาน หรือใช้เป็นแชทบอทให้บริการลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง

2. ธุรกิจที่ใช้ข้อมูลจำนวนมาก

เช่น ธุรกิจการเงิน ประกันภัย และโลจิสติกส์ AI สามารถช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว ลดต้นทุนในการจ้างนักวิเคราะห์ และลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด

3. ธุรกิจที่ให้บริการลูกค้า

เช่น Call Center และ E-commerce การใช้ AI ตอบคำถามลูกค้าอัตโนมัติช่วยลดจำนวนพนักงานที่ต้องดูแลงานซ้ำๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ROI เกิดไว

การใช้ AI ให้เห็นผลไว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาปัจจัยสำคัญเหล่านี้:

1. เลือก Use Case ที่มีผลกระทบสูง

ควรเริ่มต้นจากจุดที่สิ้นเปลืองทรัพยากรมาก เช่น งานเอกสาร งานตอบอีเมล หรืองานที่ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก

2. ใช้เครื่องมือ AI ที่เข้าถึงง่าย เช่น ChatGPT

หลีกเลี่ยงการลงทุนกับระบบ AI ขนาดใหญ่ในระยะแรก เริ่มจากเครื่องมือที่ใช้งานได้ทันที เช่น ChatGPT ที่ช่วยลดต้นทุนด้านเวลาและงบประมาณ

3. วัดผลได้อย่างชัดเจน

กำหนดเกณฑ์วัดผลลัพธ์ที่ชัดเจน เช่น เวลาที่ลดลงต่อรอบงาน อัตราความพึงพอใจของลูกค้า หรือผลผลิตต่อพนักงานหนึ่งคน

กรณีศึกษา: ChatGPT ช่วย SMEs ลดต้นทุนได้อย่างไร?

ตัวอย่างที่ 1: ธุรกิจ E-commerce

SMEs ด้าน E-commerce ขนาดเล็ก เริ่มใช้ ChatGPT เป็นแชทบอทตอบคำถามลูกค้าใน Facebook และ Line OA ส่งผลให้ลดจำนวนพนักงานตอบแชทจาก 3 คน เหลือเพียง 1 คนในช่วงเวลาปกติ ลดค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเดือนละ 30,000 บาท และยังช่วยลดเวลาการตอบคำถามจากเดิมเฉลี่ย 10 นาที เหลือเพียง 30 วินาที

ตัวอย่างที่ 2: ธุรกิจที่ปรึกษาด้านบัญชี

บริษัทให้คำปรึกษาด้านบัญชีเริ่มใช้ ChatGPT ช่วยร่างเอกสาร เช่น รายงานสรุปการประชุม อีเมลติดต่อลูกค้า และคำถามที่พบบ่อย (FAQs) บนเว็บไซต์ ส่งผลให้พนักงานไม่ต้องเสียเวลากับงานเอกสารซ้ำๆ และสามารถโฟกัสกับงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ได้มากขึ้น

สรุปผลลัพธ์ที่วัดได้

  • ลดจำนวนชั่วโมงทำงานของพนักงานเฉลี่ย 20–30%

  • เพิ่มความเร็วในการให้บริการลูกค้า

  • ประหยัดค่าใช้จ่ายทางตรง เช่น เงินเดือนพนักงาน และค่าดำเนินงานรายเดือน

  • เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า และเพิ่มโอกาสปิดการขายได้เร็วขึ้น

บทสรุป: ถึงเวลาที่ธุรกิจคุณต้องใช้ AI แล้วหรือยัง?

AI ไม่ใช่เทคโนโลยีของอนาคตอีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในปัจจุบันที่ช่วยให้ธุรกิจลดต้นทุนและเพิ่มผลกำไรได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะสำหรับ SMEs ที่ต้องการความคล่องตัวสูง การเริ่มต้นด้วยเครื่องมืออย่าง ChatGPT คือทางเลือกที่ทั้งง่าย ประหยัด และเห็นผลเร็ว

หากคุณยังไม่ได้เริ่มต้นใช้ AI ในธุรกิจของคุณ วันนี้คือเวลาที่เหมาะสมที่สุด เริ่มจากจุดเล็กๆ ที่มีผลกระทบสูง และค่อยๆ ขยายไปยังส่วนอื่น ๆ ในองค์กร

เริ่มต้นทดลองใช้ ChatGPT เพื่อธุรกิจของคุณวันนี้ แล้วคุณจะเห็นผลลัพธ์ได้ด้วยตนเอง

Table of Contents

คุณยศธร วงษ์เสรี - ทอท

CEO & Co-Founder บริษัท น่าสนใจ จำกัด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *